สถาบันบริการหรือแหล่งเรียนรู้สารสนเทศ
งานบริการเป็นหัวใจสำคัญที่สุดสำหรับสถาบันบริการสารนิเทศที่มีหน้าที่ให้บริการสารนิเทศ เช่น ห้องสมุดหรือศูนย์สารนิเทศ,ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร,ศูนย์เอกสารสนเทศ ฯลฯ หากมีการจัดบริหารที่เป็นเลิศ มีประสิทธิภาพ มีงานเทคนิคที่ดีเยี่ยม แต่มีงานบริการที่ไม่เป็นที่ประทับใจไม่สามารถจัดบริการได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพหน่วยงานที่ให้บริการสารสนเทศนั้นก็ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของงานบริการได้ ดังนั้นงานบริการจึงมีความสำคัญต่องานสถาบันบริการสารนิเทศ จนอาจกล่าวได้ว่า"งานบริการคือหัวใจของสถาบันบริการสารนิเทศ"
ความหมายของสถาบันบริการหรือแหล่งเรียนรู้สารสนเทศ
การสื่อสารในปัจจุบันสถาบันบริการหรือแหล่งเรียนรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและสังคมเป็นอย่างมาก ถ้ามีความเข้าใจในสารสนเทศแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมหลายด้าน เช่น ช่วยพัฒนาสติปัญญา บุคลิกภาพ ด้านการบันเทิง การประกอบอาชีพ การตัดสินใจ พัฒนาการศึกษา พัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ นอกจากนี้สถาบันบริการสารสนเทศยังเป็นหน่วยงานที่รวบรวมสารสนเทศต่าง ๆ มีการจัดเก็บสารสนเทศอย่างเป็นระบบ และเผยแพร่พร้อมให้บริการสารสนเทศตามความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้น ประชาชนจึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจความหมายของสถาบันบริการหรือแหล่งเรียนรู้สารสนเทศที่จะเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ดังจะกล่าวต่อไปนี้
สถาบันบริการสารสนเทศ คือ แหล่งสารสนเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวม จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศตามความต้องการของผู้ใช้ มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น ห้องสมุด ศูนย์สารสนเทศ ศูนย์ข้อมูล เป็นต้น
งานบริการเป็นหัวใจสำคัญที่สุดสำหรับสถาบันบริการสารนิเทศที่มีหน้าที่ให้บริการสารนิเทศ เช่น ห้องสมุดหรือศูนย์สารนิเทศ,ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร,ศูนย์เอกสารสนเทศ ฯลฯ หากมีการจัดบริหารที่เป็นเลิศ มีประสิทธิภาพ มีงานเทคนิคที่ดีเยี่ยม แต่มีงานบริการที่ไม่เป็นที่ประทับใจไม่สามารถจัดบริการได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพหน่วยงานที่ให้บริการสารสนเทศนั้นก็ไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของงานบริการได้ ดังนั้นงานบริการจึงมีความสำคัญต่องานสถาบันบริการสารนิเทศ จนอาจกล่าวได้ว่า"งานบริการคือหัวใจของสถาบันบริการสารนิเทศ"
ความหมายของสถาบันบริการหรือแหล่งเรียนรู้สารสนเทศ
การสื่อสารในปัจจุบันสถาบันบริการหรือแหล่งเรียนรู้สารสนเทศมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตและสังคมเป็นอย่างมาก ถ้ามีความเข้าใจในสารสนเทศแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคมหลายด้าน เช่น ช่วยพัฒนาสติปัญญา บุคลิกภาพ ด้านการบันเทิง การประกอบอาชีพ การตัดสินใจ พัฒนาการศึกษา พัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ นอกจากนี้สถาบันบริการสารสนเทศยังเป็นหน่วยงานที่รวบรวมสารสนเทศต่าง ๆ มีการจัดเก็บสารสนเทศอย่างเป็นระบบ และเผยแพร่พร้อมให้บริการสารสนเทศตามความต้องการของผู้ใช้ ดังนั้น ประชาชนจึงจำเป็นต้องมีความเข้าใจความหมายของสถาบันบริการหรือแหล่งเรียนรู้สารสนเทศที่จะเป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิต ดังจะกล่าวต่อไปนี้
สถาบันบริการสารสนเทศ คือ แหล่งสารสนเทศที่จัดตั้งขึ้นเพื่อรวบรวม จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศตามความต้องการของผู้ใช้ มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น ห้องสมุด ศูนย์สารสนเทศ ศูนย์ข้อมูล เป็นต้น
4.1 หน่วยทะเบียน สถิติ
ภายในหน่วยงาน เช่น โรงพยาบาล มีหน่วยทะเบียนเก็บรวบรวมประวัติ และสถิติคนไข้
4.2 หน่วยราชการ ระดับสำนักงาน กอง ฝ่าย ซึ่งได้รับการจัดตั้งให้ดำเนินการรับจดทะเบียนและงานทะเบียนเฉพาะเรื่อง ตามขอบเขตของภารกิ
ตัวอย่างของหน่วยงานทะเบียน คือ กรมทะเบียนการค้า
รับจดทะเบียนเป็นแหล่งข้อมูลทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท
ทะเบียนธุรกิจของคนต่างด้าวกองทะเบียน กรมการปกครอง
มีฝ่ายทะเบียนรับผิดชอบงานทะเบียนการปกครอง4.2 หน่วยราชการ ระดับสำนักงาน กอง ฝ่าย ซึ่งได้รับการจัดตั้งให้ดำเนินการรับจดทะเบียนและงานทะเบียนเฉพาะเรื่อง ตามขอบเขตของภารกิ
หอจดหมายเหตุ หรือหน่วยงานจดหมายเหตุ (Archive)
หอจดหมายเหตุ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบเอกสารราชการ เอกสารทาง
ประวัติศาสตร์ อันได้แก่ ระเบียบข้อบังคับ คำสั่ง หนังสือโต้ตอบ บันทึก รายงาน แบบพิมพ์
แผนที่ แผนผัง แบบแปลน พิมพ์เขียว ภาพถ่าย ภาพวาด สไลด์ ฟิล์มภาพยนตร์ ไมโครฟิล์ม
วีดิทัศน์ และสื่ออีเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นหลักฐานแสดงพัฒนาการดำเนินงานของรัฐหรือสถาบันเอกชน ใช้อ้างอิงในการปฏิบัติหน้าที่ และการค้นคว้าวิจัย รวมทั้งเป็นมรดกทางวัฒนธรรมด้วย หอจดหมายเหตุจำแนกออกได้ 5 ประเภท คือ หอจดหมายเหตุแห่งชาติ หอจดหมายเหตุส่วนภูมิภาคและท้องถิ่น หอจดหมายเหตุของสถาบันทางศาสนา หอจดหมายเหตุของมหาวิทยาลัยและ หอจดหมายเหตุของสถาบันธุรกิจและอุตสาหกรรม
สรุปได้ว่า “สถาบันบริการสารสนเทศ” คือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดหา จัดเก็บ และให้บริการสารสนเทศเฉพาะสาขาวิชาหรือเฉพาะเรื่อง บุคลากรของศูนย์ประกอบด้วยนักเอกสารสนเทศ นักวิจัย บรรณารักษ์ นักบรรณานุกรม
ประเภทของสถาบันบริการสารสนเทศ
วิทยาการ ความรู้ และเทคโนโลยีโดยเฉพาะเทคโนโลยีสารสนเทศได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านต่างๆ ของสังคมอย่างกว้างขวาง ความก้าวหน้าของมนุษย์ในสังคมเกิดจากการถ่ายทอดและเรียนรู้ ดังนั้นสถาบันบริการสารสนเทศจึงมีความสำคัญ และเป็นสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้ในสังคมสารสนเทศ เช่นปัจจุบัน สถาบันบริการสารสนเทศมีรูปแบบต่างๆ ได้แก่ ห้องสมุด ศูนย์สารนิเทศ ศูนย์ข้อมูล หน่วยทะเบียน สถิติ ศูนย์วิเคราะห์สารนิเทศ ศูนย์ประมวลแจกจ่ายสารนิเทศ ศูนย์แนะแหล่งสารนิเทศ หน่วยงานจดหมายเหตุ และสถาบันบริการสารนิเทศเชิง
พาณิชย์ ดังนั้นจึงมีผู้รู้ได้แบ่งประเภทของสถาบันบริการสารสนเทศได้หลายแบบ ดังต่อไปนี้(ชุติมา สัจจานันท์ 2539 121-156)
ตัวอย่าง
ประเภทของสถาบันบริการสารสนเทศ
แหล่งสารสนเทศสมารถแบ่งออกเป็น
5 กลุ่ม ดังนี้
1. แหล่งสารสนเทศสถาบัน
2. แหล่งสารสนเทศบุคคล
3. แหล่งสารสนเทศสถานที่
4. แหล่งสารสนเทศสื่อมวลชน
5. แหล่งสารสนเทศอินเทอร์เน็ต
1. แหล่งสารสนเทศสถาบัน
เป็นแหล่งสารสนเทศที่จัดอยู่ในกลุ่มสถาบัน/องค์กรต่าง
ๆ ซึ่งอาจเป็นของรัฐบาล รัฐวิสาหกิจ เอกชน สมาคม หรือองค์การระหว่างประเทศ
โดยมีหน้าที่พื้นฐานคือ รวบรวมการจัดการและให้บริการสารสนเทศตามวัตถุประสงค์ของสถาบันนั้น
ๆ จึงเรียกว่า สถาบันบริการสารสนเทศ มีหลายรูปแบบเรียกชื่อต่างกันไป
เช่น ห้องสมุดหรือหอสมุด หอจดหมายเหตุ ศูนย์สารสนเทศ เป็นต้น ส่วนใหญ่สถาบันเรียกชื่อต่างกันไป เช่น ห้องสมุดหรือหอสมุด หอจดหมายเหตุ
ศูนย์สารสนเทศ เป็นต้น
2. แหล่งสารสนเทศบุคคล
เป็นแหล่งสารสนเทศที่มีอยู่ในตัวบุคคลที่เป็นผู้รู้สารสนเทศ
โดยเกิดจากการประมวลความคิด ความรู้และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล
แหล่งสารสนเทศบุคคลที่สำคัญ เช่น ปราชญ์ชาวบ้าน ผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ
นักวิชาชีพในสาขาวิชาต่าง ๆ เป็นต้น
การเข้าถึงสารสนเทศบุคคลอาจต้องใช้วิธีการติดต่อสอบถามขอความรู้ คำแนะนำเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ต้องการจากบุคคลเหล่านั้นโดยตรง
3. แหล่งสารสนเทศสถานที่
ได้แก่ อนุสาวรีย์ โบราณสถาน อุทยานแห่งชาติรวมถึงสถานที่จำลองด้วย เช่น
อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ปราสาทหินพิมาย เมืองโบราณ เป็นต้น แหล่งสารสนเทศเหล่านี้
มีประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าอย่างยิ่ง ทั้งยังเป็นแหล่งที่เข้าถึงได้ไม่ยากนัก
ข้อด้อยของแหล่งสารสนเทศที่เป็นสถานที่ก็คือ สถานที่บางแห่งอยู่ไกล
การเดินทางไปสถานที่แห่งนั้นต้องใช้เวลาและค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก
4. แหล่งสารสนเทศสื่อมวลชน
เป็นแหล่งสารสนเทศที่มุ่งเผยแพร่สารสนเทศ ข่าวสาร
เหตุการณ์ ต่อมวลชนส่วนใหญ่
เน้นความทันสมัย/ทันต่อเหตุการณ์ ใช้การถ่ายทอดสารสนเทศในรูปของการกระจายเสียง
ภาพและตัวอักษรโดยผ่านสื่อประเภท โทรทัศน์
วิทยุและหนังสือพิมพ์
5. แหล่งสารสนเทศอินเตอร์เน็ต
อินเตอร์เน็ตเป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดใหญ่ครอบคลุมทั่วโลก
เชื่อมโยงฐานข้อมูลจำนวนมากเข้าด้วยกันทำให้อินเตอร์เน็ตเป็นแหล่งสารสนเทศผ่านเครือข่ายที่ไม่มีพรมแดน
มีประโยชน์ต่อการสื่อสาร การค้นหาและการแลกเปลี่ยนข้อมูล
ในปัจจุบันอินเตอร์เน็ตจึงเป็นแหล่งสารสนเทศที่มีความสำคัญทางการศึกษา
เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ที่มีลักษณะเป็นสื่อผสม (Multi-
media) ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี
สถาบันการศึกษาทุกระดับโดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับอุดมศึกษาได้เชื่อมต่อระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการศึกษาช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้นักศึกษาสามารถค้นหาสารสนเทศที่ต้องการได้จากอินเตอร์เน็ต
เช่น ฐานข้อมูลห้องสมุด วารสารและจดหมายข่าวอิเล็กทรอนิกส์
บริการทางการศึกษาของมหาวิทยาลัย โปรแกรมคอมพิวเตอร์
และข้อมูลข่าวสารต่างๆโดยใช้บริการอินเตอร์เน็ต เช่น บริการไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ( Email)
บริการถ่ายโอนแฟ้มข้อมูลด้วยโปรแกรม (FTP : File Transfer
Protocal) การสนทนาทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต (IRC : Internet
Relay Chat ) และการบริการเวิลด์ไวด์เว็บ (WWW : World Wide
Web ) เป็นต้น
แหล่งสารสนเทศที่ปรากฏอยู่บนเครือข่าย WWW นั้นจะมีที่อยู่ของเว็บไซต์ที่เรียกว่า URL (Universal/Uniform
Resource Locators) โดยมีรูปแบบที่เป็นสากล ถ้าใส่ไม่ถูกต้องก็จะค้นหาไม่พบ URL ของเว็บไซต์จะประกอบด้วย WWW.ชื่อย่อ/อักษรย่อของหน่วยงาน.ชื่อย่อโดเมน
ตัวอย่าง URL ของกลุ่มต่างๆที่ปรากฏบนเครือข่าย
WWW
ปกิณกะ
10
วิธี เพื่อการควบคุมน้ำหนักให้ได้ผล
1. ความตั้งใจของตัวคุณเอง การควบคุมน้ำหนักเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก แต่สาเหตุที่ทำไม่ค่อยประสบความสำเร็จ มาจากการไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในโปรแกรมได้ตลอดระยะเวลาที่กำหนด เราควรสร้างกำลังใจให้ตนเอง มีความตั้งใจที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย สร้างภาพพจน์ให้ชัดเจนในใจ จินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทำสำเร็จ
2. ไม่ควรอดอาหาร เพราะการอดอาหาร นอกจากจะทำให้ขาดสารอาหารแล้ว ยังทำให้รู้สึกหิวมาก จนทำให้รับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป การอดอาหารเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลง และจะกลายเป็นคนอ้วนง่าย วิธีการควบคุมอาหารที่ถูกต้อง คือ รับประทานอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในสัดส่วนที่พอเหมาะ ลดอาหารไขมันสูง รับประทานผักและผลไม้ แทนมาก ๆ
3. หาเวลาออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิก เพื่อให้เกิดการเผาผลาญพลังงาน และหัวใจได้สูบฉีดโลหิต ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย แบบเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ จะทำให้ร่างกายกระชับได้สัดส่วน อย่างน้อยวันละ 30 นาที
4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหวาน น้ำอัดลม ให้ดื่มน้ำเปล่า วันละประมาณ 8 แก้ว หรือ ดื่มน้ำผลไม้ 100% ที่ไม่มีน้ำตาล
5. อย่ารับประทานอาหารเร็วเกินไป เนื่องจากร่างกายมีกลไก การรับรู้ความรู้สึกอิ่มจากสารอาหาร โดยเฉพาะน้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือด หากรับประทานเร็วเกินไป กว่าร่างกายจะตอบสนองว่าอิ่ม ก็ได้รับประทานอาหารมากเกินไปแล้ว เพราฉะนั้นในแต่ละมื้ออาหาร ควรดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว เคี้ยวอาหารให้ช้าลง และหยุดรับประทานอาหารทันทีที่รู้สึกอิ่ม ไม่ควรเสียดายอาหารที่เหลือ
6. ควรรับประทานอาหารให้อิ่มเรียบร้อย ก่อนที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น ไม่ควรรับประทานอาหารไป ดูทีวีไป เพราะจะทำให้เพลิน และรับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย
7. ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อดึก หรือรับประทานขนมในเวลาก่อนเข้านอน เพราอาหารที่รับประทานทั้งหมดจะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย
8. งดอาหารว่างระหว่างมื้อที่เป็นของขบเคี้ยว เบเกอรี่ หรือของหวาน ให้รับประทานผัก หรือ ผลไม้แทน
9. การออกกำลังกายที่สนุกสนาน จะช่วยทำให้เราสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ และมีความสุขที่จะทำ เช่น เล่นกีฬาที่ชอบ , ทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกที่บ้าน อาจเป็นงานบ้าน หรือไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ เมื่อไหร่ที่เริ่มมีอาการเบื่อการออกกำลังกาย ให้สลับกับกิจกรรม หรือกีฬาที่เราชอบ เพื่อเป็นการเผาผลาญพลังงานไปพร้อม ๆ กัน
10. เริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่เป็นไปได้ ไม่ควรลดน้ำหนักรวดเร็วเกินไป ให้รางวัลกับตัวเอง เช่น เสื้อ หรือกางเกง เมื่อประสบความสำเร็จ แต่ไม่ควรให้รางวัลด้วยอาหารมื้อพิเศษ
ที่มา : ขอขอบคุณ บทความของ ภ.ญ.วราภรณ์ เอี่ยมสุวรรณ์
1. ความตั้งใจของตัวคุณเอง การควบคุมน้ำหนักเป็นสิ่งที่ทำได้ไม่ยาก แต่สาเหตุที่ทำไม่ค่อยประสบความสำเร็จ มาจากการไม่สามารถควบคุมให้อยู่ในโปรแกรมได้ตลอดระยะเวลาที่กำหนด เราควรสร้างกำลังใจให้ตนเอง มีความตั้งใจที่จะไปให้ถึงเป้าหมาย สร้างภาพพจน์ให้ชัดเจนในใจ จินตนาการถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อทำสำเร็จ
2. ไม่ควรอดอาหาร เพราะการอดอาหาร นอกจากจะทำให้ขาดสารอาหารแล้ว ยังทำให้รู้สึกหิวมาก จนทำให้รับประทานอาหารในปริมาณที่มากเกินไป การอดอาหารเป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานน้อยลง และจะกลายเป็นคนอ้วนง่าย วิธีการควบคุมอาหารที่ถูกต้อง คือ รับประทานอาหารประเภท คาร์โบไฮเดรตและโปรตีนในสัดส่วนที่พอเหมาะ ลดอาหารไขมันสูง รับประทานผักและผลไม้ แทนมาก ๆ
3. หาเวลาออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายทั้งแบบแอโรบิก เพื่อให้เกิดการเผาผลาญพลังงาน และหัวใจได้สูบฉีดโลหิต ควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย แบบเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ จะทำให้ร่างกายกระชับได้สัดส่วน อย่างน้อยวันละ 30 นาที
4. งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำหวาน น้ำอัดลม ให้ดื่มน้ำเปล่า วันละประมาณ 8 แก้ว หรือ ดื่มน้ำผลไม้ 100% ที่ไม่มีน้ำตาล
5. อย่ารับประทานอาหารเร็วเกินไป เนื่องจากร่างกายมีกลไก การรับรู้ความรู้สึกอิ่มจากสารอาหาร โดยเฉพาะน้ำตาลที่เข้าสู่กระแสเลือด หากรับประทานเร็วเกินไป กว่าร่างกายจะตอบสนองว่าอิ่ม ก็ได้รับประทานอาหารมากเกินไปแล้ว เพราฉะนั้นในแต่ละมื้ออาหาร ควรดื่มน้ำก่อน 1 แก้ว เคี้ยวอาหารให้ช้าลง และหยุดรับประทานอาหารทันทีที่รู้สึกอิ่ม ไม่ควรเสียดายอาหารที่เหลือ
6. ควรรับประทานอาหารให้อิ่มเรียบร้อย ก่อนที่จะทำกิจกรรมอย่างอื่น ไม่ควรรับประทานอาหารไป ดูทีวีไป เพราะจะทำให้เพลิน และรับประทานอาหารเกินความต้องการของร่างกาย
7. ไม่ควรรับประทานอาหารมื้อดึก หรือรับประทานขนมในเวลาก่อนเข้านอน เพราอาหารที่รับประทานทั้งหมดจะกลายเป็นไขมันสะสมในร่างกาย
8. งดอาหารว่างระหว่างมื้อที่เป็นของขบเคี้ยว เบเกอรี่ หรือของหวาน ให้รับประทานผัก หรือ ผลไม้แทน
9. การออกกำลังกายที่สนุกสนาน จะช่วยทำให้เราสามารถทำได้อย่างสม่ำเสมอ และมีความสุขที่จะทำ เช่น เล่นกีฬาที่ชอบ , ทำกิจกรรมร่วมกับสมาชิกที่บ้าน อาจเป็นงานบ้าน หรือไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ เมื่อไหร่ที่เริ่มมีอาการเบื่อการออกกำลังกาย ให้สลับกับกิจกรรม หรือกีฬาที่เราชอบ เพื่อเป็นการเผาผลาญพลังงานไปพร้อม ๆ กัน
10. เริ่มต้นด้วยเป้าหมายที่เป็นไปได้ ไม่ควรลดน้ำหนักรวดเร็วเกินไป ให้รางวัลกับตัวเอง เช่น เสื้อ หรือกางเกง เมื่อประสบความสำเร็จ แต่ไม่ควรให้รางวัลด้วยอาหารมื้อพิเศษ
ที่มา : ขอขอบคุณ บทความของ ภ.ญ.วราภรณ์ เอี่ยมสุวรรณ์
การรักษาโรคภูมิแพ้
โรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่เมื่อหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่แพ้
และรับประทานยาแก้แพ้ก็จะสามารถควบคุมอาการได้ สำหรับผู้ที่มีอากรคัดจมูกมากอาจจะต้องให้ยาลดอาการคัดจมูก(
Decongestant)
สำหรับผู้ที่มีอาการเรื้อรังอาจจะต้องใช้ยาหยอดจมูก steroid หลักการรักษาประกอบด้วย
1.
หลีกเลี่ยงหรือป้องกันสารที่เป็นภูมิแพ้้การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้
ได้กล่าวในหัวข้อของการแพ้สารก่อภูมิแต่ละชนิด สำหรับเครื่องฟอกอากาศก็มีประโยชน์
บางชนิดใช้ไฟฟ้า บางชนิดใช้ fiberglass ซึ่งก็สามารถลดสารก่อภูมิแพ้ในอากาศลง
และอาจจะใช้เสริมกับระบบเครื่องปรับอากาศ ก่อนที่ท่านจะซื้อจะต้องเช่า 1-2 เดือนลองใช้กับห้องที่ค่อนข้างมิดชิดแล้วดูว่าอาการภูมิแพ้ลดลงหรือไม่
และต้องคำนึงอีกข้อหนึ่งคืออัตราการไหลของอากาศต้องมากพอที่จะฟอกอากาศ
ถ้าอัตราการไหลต่ำก็ไม่มีประโยชน์ ไม่ควรใช้โอโซนเพราะจะระคายเคืองเยื่อจมูก
2.
การใช้ยาอย่างเหมาะสมเพื่อลดอาการ หรือป้องกันอาการ
ยาที่ใช้รักษามีดังนี้
- ยาแก้แพ้ Antihistamin
- Decongestant
- Antihistamin-Decongestant
- Steroid
- Mast cell
stabilizer
- Anticholinergic
1.
การรักษาโดยการฉีดภูมิแพ้ Immunotherapy ผู้ป่วยจะได้รับสารก่อภูมิแพ้เพื่อให้ร่างการสร้างภูมิชนิด
IgG การฉีดจะเลือกฉีดเฉพาะสารก่อภูมิแพ้ที่ได้ทดสอบทางผิวหนังแล้วว่าแพ้
และจะค่อยเพิ่มขนาดยาตามตารางเวลา
หลังจากฉีดแต่ละครั้งควรอยู่ในสถานพยาบาลครึ่งชั่วโมง
และระหว่างการรักษาไม่ควรรับประทานยา beta-block และยา monoamine
oxidase
inhibitors (MAOIs) ผลข้างเคียงจากการฉีดก็มีผื่นเฉพาะที่แดง คันผื่นจะอยู่นาน 4-8 ชั่วโมง ส่วนข้างเคียงอีกชนิดหนึ่งคืออาการคัดจมูก แน่นหน้าอก คัดจมูกและน้ำมูกไหล อาการเหล่านี้มักจะเกิดภายใน 30 นาทีหลังฉีด
inhibitors (MAOIs) ผลข้างเคียงจากการฉีดก็มีผื่นเฉพาะที่แดง คันผื่นจะอยู่นาน 4-8 ชั่วโมง ส่วนข้างเคียงอีกชนิดหนึ่งคืออาการคัดจมูก แน่นหน้าอก คัดจมูกและน้ำมูกไหล อาการเหล่านี้มักจะเกิดภายใน 30 นาทีหลังฉีด
การรักษาอื่นที่บรรเทาอาการได้แก่
- การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ
- การดมไอน้ำร้อนครั้งละ10-15 นาทีวันละ 2-4ครั้ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น